วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

สิ่งที่ได้รับจากการนำเสนอ

จากการนำเสนอชิ้นงานของตนเองเรื่อง วิธีการสืบค้นข้อมูล 
การสืบค้น นั้นหมายถึง การสืบเสาะค้นหาเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เราสนใจ  ซึ่ง อาจะได้รับคำตอบในรูปของบรรณานุกรม ต้นฉบับเอกสาร คำตอบที่เฉพาะเจาะจง ตัวเลข หรือข้อความของเรื่องนั้น "การสืบค้น" หรือ "การสืบค้นข้อมูล (Information retrieval)" เป็นคำที่ใช้กันทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแวดวงห้องสมุดและสารสนเทศ ซึ่งก็คือ "การค้นหาข้อมูล"  โดยการสืบค้นข้อมูลสามารถสืบค้นได้หลากหลายวิธี  เช่น   search engines    หนังสือทั่วไป   บทความตามนิตยสารต่างๆ ซึ่งก็แล้วแต่ความสะดวกของผู้สืบค้นว่า  มีทักษะในการค้นด้วยวิธีใด  แต่วิธีที่นิยมในปัจจุบันมากที่สุดน่าจะเป็นการ   search engines  เพราะเป็นวิธีที่สะดวกและรวดเร็วที่สุด แต่การสืบค้นด้วยวิธีก็ใช่ว่าจะได้ข้อมูลถูกต้องที่สุด  เราต้องนำข้อมูลนั้นมาวิเคราะห์ มาสกัดมาเป็นในรูปแบบของตัวเองเสียใหม่ ซึ่งบางทีข้อมูลที่พบนั้น อาจจจะไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ะจะมีข้อมูลให้เลือกรับมากมายหลากหลาย
 การ   search engines  ขั้นตอนแรกเราก็ต้องกำหนดคำสำคัญๆที่เราต้องการค้นหา ( keyword ) รวมไปถึงถ้าทราบถึงชื่อหนังสิอที่ต้องการจะค้นหาด้วยแล้วยิ่งง่ายขึ้นไปอีก  ในการ   search engines     นั้นสามารถระบุได้ว่าต้องการหาข้อมูลในรูปแบบทั้ง สามารถเลือกได้ทั้งแบบ  Text   รูปภาพ หรือแม้กระทั่งไฟล์วีดิโอ  และการค้นหาก็มีการกำหนดคำหรือการใช้คำสั่งช่วยในการสืบค้นเช่นกันการค้นหาโดยตรรกบูลีนการใช้คำเชื่อมต่าง ๆ เช่น  AND  OR  หรือ  NOT    เป็นเทคนิคในการสืบค้นที่ทำให้เราค้นข้อมูลที่ต้องการให้ตรงยิ่งขึ้น    ไม่กว้างเกินไป  ตัวอย่างของเว็บ   search engines  เช่น  Ask.com   ,  google.com (ที่นิยมที่สุด)  , aol.com  ,  bing.com  เป็นต้น

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

ขั้นตอน/วิธีการค้นหาข้อมูล



 ปัจจุบัน ความรู้กลายเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับองค์กรต่างๆมากกว่าทรัพยากรด้านการเงิน  สถานที่ตั้งทางการตลาด  เทคโนโลยีหรือทรัพย์สินอื่นๆ ความรู้เป็นทรัพยากรหนึ่งที่สำคัญมากในหารดำเนินการในองค์กร  เพราะความรู้ หรือข้อมูลที่มีในองค์กรจะสามารถทำให้การทำงานเป็นไปอย่างมีระบบขั้นตอน  ส่งผลให้การทำงานเกิดประสิทธภาพและประสิทธิผลอย่างที่ควรจะได้รับ  ดังนั้นการที่จะให้องค์กรทำงานได้อย่างบรรลุเป้าหมาย คือ ต้องจักการบริหารความรู้และข้อมูลที่มีอยู่ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยความรู้ทีได้มา อาจจะมีวิธีการค้นหามาจากหลายวิธี  ดังเช่นต่อไปนี้ เป็นวิธีการสืบค้นข้อมูลมาใช้งาน
     1. จากพันธมิตร คู่ค้า   การหาข้อมูลจากคู้ค้าหรือพันธมิตร อาจจะเป็นการซื้อสินค้าจากคู่แข่งเพื่อมาศึกษาข้อมูลจากเขา  หรืออาจจะเป็นการพบปะสนนาการค้าระหว่างกัน
     2. จากการประชุม สัมนา  การหาความรู้ข้อมูลจากการประชุม สัมนา จะเป็นการได้รับความรู้ทีหลากหลายเพราะ มีความคิดจากหลายคนในที่ประชุม จึงจะทำให้ได้ความรู้ที่หลากหลาย มีความคิดเห็นที่หลากหลาย ถือว่าเป็นวิธีการเก็บข้อมูลที่ดีอีกวิธีหนึ่งเลยทีเดียว  นอกจากจะได้ความรู้แล้วเรายังจะได้มีความสัมพันธ์ในทางที่ดีกับผู้ร่วมประชุมที่ดีอีกด้วย ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน
    3. หนังสือพิมพ์   หนังสือ   ปัจจุบันสื่อมีมากมายหลายทาง หนึ่งในนั้นคือสื่อหนังสือพิมพ์เป็นสื่อที่ถือว่ามีความรวดเร็วพอควร  แต่เนื่องจากเป็นข่าวความรู้ที่มีความรวดเร็วในการเผยแพร่จึงอาจจะมีความผิดพลาดบ้าง ดังนั้นการรับข้อมูลข่าวสารทางหนังสือ หรือหนังสือพิมพ์นั้นเราควรพิจารณาให้ถี่ถ้วนอีกทีนึง ว่าความรู้ข้อมูลอันไหนเป็นเรื่องจริงไม่จริง
    4. สื่อทางอินเทอร์เนต    การรับข้อมูลข่าวาสารทางอินเทอร์เนต เป็นการรับความรู้ที่เปิดกว้างมากเพราะในโลกอินเทอร์เนตมีทั้งเรื่องที่เป็นความจริงและเรื่องที่ปรุงแต่งขึ้นมา การรับข่าวสารทางอินเทอร์เนตก็ควรไตร่ตรองให้มาก และควรใช้สื่ออินเทอร์เนตให้ถูกทาง เพื่อจะได้รับข้อมูลจากอินเทอร์เนตที่มากมายและเป็นประโยชน์  อินเทอร์เนตถ้าใช้ให้ถูกวิธีก็จะมีประโยชน์กับคนเรามากมาย  การค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เนตก็มีเทคนิคในการสืบค้นมากมาย ในที่นี่ไม่ได้ลงลึกในวิธีการค้นหา



อ้างอิง (1) :   พรธิดา วิเชียรปัญญา.การจัดการความรู้ : พื้นฐานและการประยุกต์.กรุงเทพฯ :เอ็กซเปอร์เน็ท,2547.164 หน้า
         (2)  :   ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช.การจัดการความรู้ ฉบับนักปฏิบัติ.กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ,2549.280 หน้า
         (3)  :    Asian Productivity Organization. Knowledge Management.Hirakawa-cho Dai-ichi Seimei Bldg.2F 1-2-10,Hirakawa-cho,Chiyoda-ku Tokyo 102-0093,Japan.

วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2554

สิ่งที่ได้รับจากบทความกลุ่มอื่นๆ

กลุ่มที่  1  บทบาทของการจัดการความรู้ในการสร้างสรรค์นวัตกรรม
     ในบทความนี้พูดถึงการทำให้เกิดนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพในการจัดการความรู้ ซึ่งต้องมีการค้นคว้าให้เกิดขึ้นภายในอนาคตกาการจัดการความรู้จะเกิดขึ้นใน 3 ระดับ คือ ระดับบุคคล ระดับทีม และระดับองค์กร โดยสามารถแก้ปัญหาได้แบบองค์รวมผสมผสานความหลากหลายมุมมองคือ มุมมองทางกระบวนการ มุมมองทางวัฒนธรรม และมุมมองทางเทคโนโลยี โดยทั้งหมดจการจัดการความรู้จะเกิดขึ้นใน 3 ระดับ คือ ระดับบุคคลล ระดับทีม และระดับองค์กร โดยสามารถแก้ปัญหาได้แบบองค์รวมผสมผสานความหลากหลายมุมมองคือ มุมมองทางกระบวนการ มุมมองทางวัฒนธรรม และมุมมองทางเทคโนโลยี โดยทั้งหมดจะมีสัดส่วนที่เท่ากันะมีสัดส่วนที่เท่ากัน

กลุ่มที่ 2    การสร้างคุณค่าผ่านรายได้ของลูกค้า 
          บทนี้กล่าวถึงรูปแบบที่จะช่วยให้เงินทุนของลูกค้านั้นที่จะรวมอยู่ในทุนมนุษย์ของ บริษัท ในการออกไปฝึกที่ไม่ได้ตอนนี้ วามรู้ของ บริษัท ลูกค้าและการนี้จะเพิ่มศักยภาพสำหรับรายได้มากขึ้น  บริษัท ที่ได้รับประโยชน์จากความก้าวหน้าด้านไอทีฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สามารถให้ บริการลูกค้าประจำสนใจกับโอกาสในการเข้าวงในของ บริษัท ที่มีความรู้และเสนอความคิดสร้างสรรค์ทำให้เกิดคำถามและคำตอบของแบบสอบถาม ให้กับลูกค้าอื่น ๆ ของบทนี้จะเรียกว่าลูกค้ารายได้จากการได้มา  สถาปัตยกรรมที่สำคัญ บริษัท จำเป็นต่อการดำเนินการ CDR จะมีการอธิบายและกรณีศึกษาการใช้วิธีการที่คล้ายกันจะถูกนำเสนอในการยืมการ

กลุ่มที่  4  ความสัมพันธ์ของการจัดการความรู้และนวัตกรรม
             บทควานี้กล่าว ถึงความสัมพันธ์ระหว่างการจัดการความรู้และนวัตกรรม ในการพัฒนาองค์กรเพื่อสร้างคุณภาพนวัตกรรมและการจัดการความรู้ขององค์กร ธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ    และการจัดการความรู้ถูกนำมาเป็นกิจกรรมที่ผ่านมาที่มีการ Harnessed เพื่อส่งเสริมและอำนวยความสะดวกในกระบวนการนวัตกรรม

วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554

KM Model


KM Model




         SECI Model
         SECI Model    เป็นกระบวนการในการสร้างความรู้ที่เกิดจากการผสมผสานระหว่าง ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) และ ความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวบุคคล (Tacit Knowledge) ที่ประกอบด้วย 4 กระบวนการ คือ
  • S = Socialization คือ การสร้างความรู้ด้วยการแบ่งปันประสบการณ์โดยการพบปะสมาคม และพูดคุยกับผู้อื่น ซึ่งจะเป็นการถ่ายทอด แบ่งปัน ความรู้ที่อยู่ในตัวบุคคลไปให้ผู้อื่น
  • E = Externalization คือ การนำความรู้ในตัวบุคคลที่ได้นำมาพูดคุยกันถ่ายทอดออกมาให้
    เป็นสิ่งที่จับต้องได้หรือเป็นลายลักษณ์อักษร
  • C = Combination คือ การผสมผสานความรู้ที่ชัดแจ้งมารวมกัน และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
    เพื่อให้สามารถนำความรู้นั้นไปใช้ในทางปฏิบัติได้
  • I = Internalization คือ การนำความรู้ที่ได้มาใหม่ไปใช้ปฏิบัติหรือลงมือทำจริง ๆโดยการฝึกคิด ฝึกแก้ปัญหา จนกลายเป็นความรู้และปรับปรุงตนเอง
โดยความรู้นั้น ทาง KM พบว่ามีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่
  1. Tacit Knowledge คือ ความรู้ที่ได้มาจากประสบการณ์และไม่สามารถบรรยายเป็นถ้อยคำ ถ้อยความ หรือสูตรได้ และขึ้นอยู่กับความเชื่อ รวมทั้งทักษะเชิงวิชาการของบุคคลที่จะ กลั่นกรองความรู้ ความรู้ชนิดนี้สามารถพัฒนาและแบ่งปันกันได้ และเป็นความรู้ที่จะทำให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน
  2. Explicit Knowledge คือ ความรู้ที่เป็นเหตุและผลที่สามารถจะบรรยาย/ถอดความ ออกมาได้ในรูปของทฏษฎี การแก้ไขปัญหา คู่มือ และฐานข้อมูล (ทุกคนสามารถเข้าถึง/ซื้อได้)




อ้างอิง :  สถาบันนวัตกรรมการเรียนรู้ ม.มหิดล . SECI Model : หัวใจของ KM . [ออนไลน์],  2009. เข้าถึงได้จาก: http://www.il.mahidol.ac.th/km/index.php/about-km/5-article-from-external/2-seci-model.html. [5 เมษายน 2554]


KM Tools : เครื่องมือการแลกเปลี่ยนเรียนรู้


KM Tools



                     ในการจัดการความ รู้ มีองค์ประกอบที่หลากหลาย แล้วแต่ทฤษฎีหรือตัวแบบ แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากและขาดไม่ได้คือการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Knowledge sharing) ซึ่งสามารถทำได้หลายรูปแบบทั้งเวทีจริง (F2F)และเวทีเสมือน (B2B) ในเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้เราสามารถใช้รูปแบบหรือกระบวนการได้หลายรูปแบบ เช่น 
1.  ชุมชนนักปฏิบัติ Community of practice : Co P เป็นการจัดกลุ่มคุณกิจที่ทำเรื่องเดียวกัน มารวมตัวกันด้วยเรื่องที่สนใจเรื่องเดียวกัน (Domain) มาพบปะกันสม่ำเสมอ (Community) และมาพัมนาวิธีการทำงานในเรื่องนั้นๆให้ดีขึ้น (Best practice)
2.  การศึกษาดูงาน (Study tour) หรือ สุนทรียทัศนา เป็นการขอไปเรียนลัดจากประสบการณ์ของผู้อื่นโดยเข้าไปดูสถานที่จริง การปฏิบัติจริงๆของเขา หรืออาจใช้ในหน่วยงานตนเองโดยการให้เพื่อนที่ทำดีๆสาธิตหรือทำเป้นตัวอย่าง ให้เราดู ให้เราเรียนรู้ก็ได้
3.  การทบทวนหลังปฏิบัติการหรือการถอดบทเรียน : After action review (AAR) เมื่อทำงานเรื่องใดเรื่องหนึ่งเสร็จแล้ว ก็มีการมานั่งทบทวนร่วมกันผ่านทางการเขียนและการพูด ด้วยการตอบคำถามง่ายๆว่า วันนี้ที่ทำนี่เพื่ออะไรหรืออยากได้อะไร ทำแล้วได้ตามที่คาดหวังไว้ไหม ทำไมถึงได้มากกว่าหรือน้อยกว่า ได้อะไรดีๆเพิ่มขึ้นมาบ้างและถ้าจะทำแบบนี้อีกควรปรับปรุงอย่างไร ในระยะหลังมีคนคิดการทบทวนก่อนปฏิบัติ (Before action review : BAR)ขึ้นมาใช้และการทบทวนขณะปฏิบัติ (During action review : DAR)
4.  การเรียนรู้ร่วมกันหลังงานสำเร็จ : Retrospect เป็น กิจกรรมที่ทีมทำงานสำเร็จไปแล้วระยะหนึ่ง ก็นัดเจอกันเพื่อทบทวนย้อนหลังงานนั้นๆ เช่นทบทวนการดูแลผู้ป่วย การสัมนาผู้ป่วย เป็นต้น 
5.  เรื่องเล่าเร้าพลัง : Springboard Storytelling เป็นการถอดความรู้ฝังลึกโดยการมอบหมายให้ผู้ที่มีผลงานดีหรือมีวิธีการทำงาน ที่ดี มาเล่าให้คนอื่นๆฟังว่าทำอย่างไร คนเล่าจะต้องเล่าให้สนุก น่าฟัง เร้าใจ เล่าให้เห็นการปฏิบัติ เห็นบุคคล ตัวละครในเหตุการณ์ ใช้ภาษาเชิงปฏิบัติจริง เล่าสิ่งที่ตนเองทำจริงๆกับมือ ไม่ปรุงแต่ง ใส่สีตีไข่ เล่าเหมือนเล่านิทานเด็กฟัง
6. การค้นหาสิ่งดีๆรอบๆตัว : Appreciative Inquiring หรือสุนทรียสาธก เป็นการมองเชิงบวก พยายามค้นหาสิ่งดีๆ ความสุข คำชื่นชม ความดีงามที่อยู่ในตัวคน ในองค์การ ในการทำงานหรือนวัตกรรมต่างๆเพื่อนำมาเผยแพร่ให้คนอื่นๆได้ทราบ
7.  เวทีเสวนา : Dialogue หรือสุนทรียสนทนา เป็นจัด กลุ่มพูดคุยกันเพื่อเอาสิ่งดีๆที่แต่ละคนมีอยู่ในตัวเองหรือในการปฏิบัติออก มา โดยไม่ขีดวงที่ชัดเจนมากเกินไป มีเพียงการกำหนดประเด็นกว้างๆในเรื่องที่จะสนทนากัน ไม่รู้คำตอบสุดท้ายว่าคืออะไร ไม่กำหนดเวลาสนทนาของแต่ละคน เปิดกว้างด้านเวลา สถานที่ บุคคลและเปิดกว้างทางใจของทุกคนที่เข้าร่วมกิจกรรมกัน บรรยากาศสบายๆ บรรยากาศเชิงบวก พูดเรื่องเก่า ท้าวความหลังที่ดีๆ พูดถึงสิ่งที่ทำจริงๆในอดีต ไม่ใช่ความคิดเห็นที่จะทำในอนาคต ลักษณะสำคัญของการเข้ากลุ่มสุนทรียสนทนาในการจัดการความรู้จึงมีลักษณะสำคัญ 4 ประการคือพูดอย่างจริงใจ ฟังอย่างตั้งใจ ถามอย่างซาบซึ้งใจและจดอย่างเข้าใจใส่ใจ 
8. เพื่อนช่วยเพื่อน : Peer Assist  เชิญทีมอื่นมาแบ่งปันประสบการณ์ดีๆให้เรา มาแนะ มาสอน มาบอก มาเล่าให้เราได้ฟังเพื่อจะได้นำไปประยุกต์ใช้ในหน่วยงานเรา
9.  Action Learning การเรียนรู้โดยการปฏิบัติ เป็นการรวมกลุ่มกันของผู้ปฏิบัติเพื่อจะแก้ไขปัญหาใดปัญหาหนึ่ง โดยการวิเคราะห์สาเหตุ วิเคราะห์ทางเลือก เลือกทางเลือกที่เหมาะสมแล้วนำไปปฏิบัติ พร้อมทั้งติดตามประเมินผลเพื่อปรับให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ในภาษานักคุณภาพเขาเรียกทำ CQI Story
10.  Benchmarking มาตรฐานเปรียบเทียบ เป็นการตกลงกันเองในกลุ่มผู้ปฏิบัติอาจเป้นระดับบุคคล งาน แผนก ฝ่าย กลุ่มงานหรือองค์การก็ได้ กำหนดประเด็นร่วมกันแล้วนำมาเปรียบเทียบกันเพื่อร่วมมือกันในการยกระดับงาน ให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เปรียบเทียบเพื่อแข่งขันเอารางวัลกัน แต่เปรียบเทียบเพื่อเรียนรู้ร่วมกัน ในการเปรียบเทียบมาตรฐานปฏิบัติมี 2 แบบคือ Process Benchmarking และ Result Benchmarking เครื่องมือที่นำหลักการเปรียเบทียบมาตรฐานปฏิบัติมาใช้คือเครื่องมือชุดธาร ปัญญา
11.  Coaching การสอนงาน เป็นการขับเคลื่อนความรู้ข้ามบุคคลที่ง่ายและใกล้ตัวคนทำงานมากที่สุด ให้ผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่าหรือรุ่นพี่ที่มีผลงานดี มาแนะนำ สอน ให้คนที่มาใหม่หรือคนที่มีผลงานไม่ดีได้เรียนรู้ปรับปรุงวิธีการทำงาน มักใช้ในกลุ่มผู้ปฏิบัติหรืองานระดับปฏิบัติการ
12.  Mentoring การเป็นพี่เลี้ยง เป็นการให้คนทำงานที่อยู่คนละฝ่ายหรือกลุ่มงานหรือแผนกหรือแผนกเดียวกันก็ ได้ มาช่วยแนะนำวิธีการทำงาน ช่วยเหลือสนับสนุน คอยให้คำปรึกษาชี้แนะ มักใช้ในการเรียนรู้ในกลุ่มผู้บริหารหรือผู้ที่จะก้าวไปเป็นผู้บริหาร
13.  Portfolio แฟ้มงานเพื่อการพัฒนา เป็นการบันทึกผลงานดีๆ นวัตกรรมในการทำงาน คำชื่นชม ความภาคภูมิใจทั้งระดับบุคคล ระดับแผนกหรือระดับองค์การ เรียกอีกอย่างว่าบัญชีความสุข
14.  บทเรียนจากความผิดพลาด : Lesson Learned ผมมักเรียกกิจกรรมนี้ว่า ผิดเป็นครู ในทางการแพทย์มักจะมีการทำอยู่บ่อยๆเพื่อลดความผิดพลาดในการรักษาผู้ป่วย ที่เรียกว่า Dead case conference ในการทำกิจกรรมผิดเป็นครูนี้ ถ้าเริ่มทำKMใหม่ๆ ไม่แนะนำให้ใช้ เพราะคนยังไม่มีความสัมพันธ์กันดีพอ ยังไม่เปิดใจเข้าหากัน อาจเป็นบ่อเกิดของการโทษกันหรือทะเลาะกินใจกันได้ กิจกรรมผืดเป็นครูที่ดี ควรเป็นคนที่ทำผิดพลาดหรือทำงานไม่สำเร็จ เป็นผู้ที่นำเอาความผิดพลาดนั้นมาเล่าให้คนอื่นๆฟังอย่างเต็มใจ เล่าให้เห็นวิธีการ เหมือนทำเรื่องเล่าเร้าพลัง เล่าโดยไม่พยายามปกป้องตนเอง คนฟังก็ต้องฟังอย่างเข้าใจ เห้นใจ ไม่ตำหนิ ไม่ว่ากล่าวโทษ ไม่หาผู้กระทำผิด แต่เป็นการเรียนรู้จากเหตุการณ์เพื่อหาสาเหตุของความผิดพลาด จะได้วางระบบเพื่อป้องกันความผิดพลาดนั้นๆ ไม่ให้คนอื่นๆผิดพลาดซ้ำอีก ในการทำคุณภาพจะมีการทำการบริหารความเสี่ยง (Risk management : RM) ก็เป็นไปตามหลักการนี้ กิจกรรมผิดเป็นครูนี้ ดีมากสำหรับการเรียนรู้ของตนเอง เพราะถ้าเราเรียนรู้แบบผิดเป็นครู ก็จะไม่เกิดสภาพที่ว่า ผิดเป็นกู(ทุกที)
                จะเห็นได้ว่า เครื่องมือการแลกเปลี่ยนเรียนรู้มีอยู่มากมาย เราต้องเลือกใช้ให้เหมาะกับเวที บุคคล สถานที่ เหตุการณ์ ก็จะส่งผลประโยชน์ที่แท้จริงในการแลกเปลี่ยนได้ เรียกว่า งานได้ผล คนสุขใจ ไปได้พร้อมๆกัน





อ้างอิง  :  Dr. Phichet Banyati . KM Tools : เครื่องมือการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ . [ออนไลน์], [ม.ป.ป.]. เข้าถึงได้จาก: http://gotoknow.org/blog/practicallykm/119306. [5 เมษายน 2554]

สิ่งที่ได้รับจากบทความ

      
Making Knowledge Management System an Effective Tool for Learning and Training 

   การจัดการความรู้ เป็นการจัดการคนให้สามารถนำความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด   และการจัดการความรู้ยังเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งที่สำคัญมากที่สุดในการกำหนดความสำเร็จขององค์กรดังนั้นเมื่อต้องการที่จะให้องค์กรประสบความสำเร็จในการใช้ระบบการจัดการความรู้นั้น นอกจากที่เราจะต้องสนับสนุนให้ผู้ใช้คิดอย่างมีเหตุผล รู้จักวิธีการแก้ปัญหาแล้วนั้น  เราต้องคำนึงถึงปัจจัยหลักๆ 6 ปัจจัย ดังนี้  
  1.สื่อที่หลากหลายแง่มุม   คือการจัดทำระบบการจัดการความรู้นั้นต้องอาศัยสื่อเป็นตัวกลางในการสื่อสาร ดังนั้นเพื่อการที่จะสื่อสารได้ง่ายนั้นควรที่จะมีสื่อที่หลากหลายประเภทรวมเข้าด้วยกัน
  2.ความซับซ้อน   เนื้อหา ที่ซับซ้อนเป็นคุณสมบัติพิเศษที่ต้องการความรู้ ความเข้าใจ เป็นอย่างมาก เพื่อนำไปสู่บริบทแห่งการโน้มน้าว ดังนั้นการพัฒนาต้องการความเข้าใจและทักษะต่างๆที่จะทำให้การเรียนรู้สภาพ แวดล้อมภายในดียิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะส่งเสริมให้ใช้ระบบการจัดการความรู้
  3.การควบคุมผู้ใช้   ในระบบการจัดการความรู้ต้อง มีการกำหนดตัวเลือกที่จะ เร่งให้เร็วขึ้นหรือช้าลง  และหยุดหรือทำซ้ำ ในเหตุการณ์ต่างๆ  เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเห็นทางเลือกและสิ่งผิดปกติในเหตุการณ์ได้   
  4.การสนับสนุนออนไลน์  ระบบการจัดการความรู้สิ่ง ที่เป็นประโยชน์ในการสนับสนุนเวลาในการสอน  และเวลาในการจัดสร้างการเกริ่นนำ การบอกใบ้ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ผ่านปัญหาได้ในยามจำเป็น
  5.เครื่องมือที่ช่วยในการเข้าถึง   เป็นเครื่องมือที่ใช้ช่วยในการทำงาน สามารถช่วยให้คนทำงานเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว
  6.ข้อคิดเห็นหรือความคิดเห็นต่างๆ
      

วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

Explicit Knowledge & Tacit Knowledge


ประเภทของความรู้

         ประเภทของความรู้ ความรู้สามารถแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้สองประเภท คือ ความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) และความรู้แฝงเร้น หรือความรู้แบบฝังลึก (Tacit Knowledge) ความรู้ชัดแจ้งคือความรู้ที่เขียนอธิบายออกมาเป็นตัวอักษร เช่น คู่มือปฏิบัติงาน หนังสือ ตำรา เวปไซด์ Blog ฯลฯ ส่วนความรู้แฝงเร้นคือความรู้ที่ฝังอยู่ในตัวคน ไม่ได้ถอดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร หรือบางครั้งก็ไม่สามารถถอดเป็นลายลักษณ์อักษรได้ ความรู้ที่สำคัญส่วนใหญ่ มีลักษณะเป็นความรู้แฝงเร้น อยู่ในคนทำงาน และผู้เชี่ยวชาญในแต่ละเรื่อง จึงต้องอาศัยกลไกแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้คนได้พบกัน สร้างความไว้วางใจกัน และถ่ายทอดความรู้ระหว่างกันและกัน

 

ความรู้ชัดแจ้ง
                ความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่รวบรวมได้ง่าย จัดระบบและถ่ายโอนโดยใช้วิธีการดิจิทัล มีลักษณะเป็นวัตถุดิบ (Objective) เป็นทฤษฏี สามารถแปลงเป็นรหัสในการถ่ายทอดโดยวิธีการที่เป็นทางการ ไม่จำเป็นต้องอาศัยการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นเพื่อถ่ายทอดความรู้ เช่น นโยบายขององค์กร กระบวนการทำงาน ซอฟต์แวร์ เอกสาร และกลยุทธ์ เป้าหมายและความสามารถขององค์กร   ความรู้แบบชัดแจ้งมีการถ่ายโอนและแบ่งปันง่าย จึงมีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า ความรู้แบบรั่วไหลได้ง่าย (Leaky Knowledge)


ความรู้แบบฝังลึก
               ความรู้แบบฝังลึก (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่ไม่สามารถอธิบายโดยใช้คำพูดได้ มีรากฐานมาจากการกระทำและประสบการณ์ มีลักษณะเป็นความเชื่อ ทักษะ และเป็นอัตวิสัย (Subjective) ต้องการการฝึกฝนเพื่อให้เกิดความชำนาญ มีลักษณะเป็นเรื่องส่วนบุคคล มีบริบทเฉพาะ (Context-specific) ทำให้เป็นทางการและสื่อสารยาก เช่น วิจารณญาณ ความลับทางการค้า วัฒนธรรมองค์กร ทักษะ ความเชี่ยวชาญในเรื่องต่างๆ การเรียนรู้ขององค์กร ความสามารถในการชิมรสไวน์ หรือกระทั่งทักษะในการสังเกตเปลวควันจากปล่องโรงงานว่ามีปัญหาในกระบวนการ ผลิตหรือไม่  
ความรู้ยิ่งมีลักษณะไม่ชัดแจ้งมากเท่าไร การถ่ายโอนความรู้ยิ่งกระทำได้ยากเท่านั้น ดังนั้นบางคนจึงเรียกความรู้ประเภทนี้ว่าเป็นความรู้แบบเหนียว (Sticky Knowledge) หรือความรู้แบบฝังอยู่ภายใน (Embedded Knowledge)


                  ความสัมพันธ์ของความรู้ทั้งสองประเภทเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้ ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน (Mutually Constituted) (Tsoukas, 1996) เนื่องจากความรู้แบบฝังลึกเป็นส่วนประกอบของความรู้ทั้งหมด (Grant, 1996) และสามารถแปลงให้เป็นความรู้แบบชัดแจ้งโดยการสื่อสารด้วยคำพูด



ตารางเปรียบเทียบ    
Explicit Knowledge & Tacit Knowledge



อ้างอิงประเภทของความรู้. [ออนไลน์], [ม.ป.ป.]. เข้าถึงได้จาก : http://webhosting.udru.ac.th/~webmaster/km/index2.html  [ 31 มีนาคม 2554].
             :   สิ่งแตกต่าง Explicit Knowledge & Tacit Knowledge. [ออนไลน์], [ม.ป.ป.]. เข้าถึงได้จาก : pharm.kku.ac.th/km/pdf/kmpr3.pdf  [ 31 มีนาคม 2554].